วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไปดูนก แบบมืออาชีพ

ทีมดูนกในทริปนี้

ฉันออกไปดูนกด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง ดูแบบไม่มีหลักการและไม่มีแนวทาง เรียกได้ว่าเป็นการดูนกแบบมวยวัด ที่ฉันถือเอาความสะดวกสบายเข้าว่า ถ้าวันไหนอยากไปดูนกฉันก็จะเตรียมกล้องถ่ายรูปและกล้องสองตาอันเล็กจิ๋ว หมวก น้ำดื่ม ขนมขบเคี้ยวที่ให้พลังงานและแผนที่ซึ่งจะช่วยไม่ให้ฉันหลงทาง เท่านี้ก็ถือเป็นอันครบองค์ กระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้ทราบข่าวว่า จะมีการนำดูนกสำหรับผู้สนใจ.. ฟรี

8 โมงเช้าของวันเสาร์ เป็นเวลานัดตามหมายกำหนดการ ใครที่ต้องการไปดูนกตามโปรแกรมนี้ ก็จะต่างคนต่างไปเจอกันที่ทางเข้าด้านตะวันออกของทะเลสาบ Lake Murray และนี่คงเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ไปดูนกแบบมืออาชีพกับเขาบ้าง

ฉันไปถึง Lake Murray ล่ากว่าเวลานัดเล็กน้อย ตรงจุดนัดหมายมีกลุ่มคนราว 6-7 คนที่ดูจากสัมภาระของพวกเขาก็รู้ว่าเป็นพวกมาดูนกแน่นอนมารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อแน่ใจว่าฉันเดินมาหาคนไม่ผิดกลุ่ม ฉันจึงแนะนำตัวเองและบอกกับพวกเขาว่าฉันจะมาร่วมดูนกด้วย จากนั้นเพียงอึดใจ ก็มีผู้คนทยอยมาร่วมทีมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ฉันมองอุปกรณ์การดูนกที่แต่ละคนนำมาด้วย ก็พบว่า ทุกคนจะมีกล้องสองตา (Binoculars) อันโตขนาด Full Size ห้อยคออยู่ ช่างต่างกับฉัน ที่มีกล้องสองตาขนาด Compact อันเล็กจิ๋วเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสูญเสียความตั้งใจจะมาดูนกไปแม้แต่น้อย และก่อนที่การดูนกจะเริ่มขึ้น คุณสุภาพสตรีผู้เดินเข้ามาร่วมทีมเป็นคนสุดท้าย ก็ช่วยให้ฉันรู้สึกมั่นใจ เพราะเธอเองก็มีกล้องสองตาอันจิ๋วห้อยคอไว้ เหมือนกัน ในที่สุดวันนี้เรามีนักดูนกด้วยกัน 14 คน และดูเหมือนว่านักดูนกบางคนจะเคยรู้จักกันมาก่อน พวกเขาคงได้ร่วมทีมดูนกด้วยกันแบบนี้ในหลายทริป แล้ว

ไมค์ เป็นผู้นำทีมดูนกในวันนี้ และหลังจากที่แนะนำตัวแล้ว ไมค์ก็เริ่มงานของเขาด้วยการเดินนำเราไปดูนกฮัมมิงเบิร์ด ที่กำลังบินว่อนไปมา หากินน้ำหวานกันอยู่ในกอดอก Mexican Sage สีม่วง ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงที่เรายืน เป็นรายการแรก

ฉันเคยเห็นนกฮัมมิงเบิร์ดอยู่หลายครั้ง แต่ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาในจำนวนมากเท่านี้มาก่อน ประมาณว่าในเวลานั้นน่าจะมีฮัมมิงเบิร์ดอยู่ในราว 20 ตัวหรืออาจจะมากกว่า ทุกคนในทีมต่างพากันยกกล้องสองตาขึ้นมาส่องดูนก โดยไมค์จะคอยเป็นพี่เลี้ยงและคอยบอกเราว่า นกฮัมมิง เบิร์ดที่เรากำลังดูอยู่นั้นมีพันธึ์อะไรบ้าง ตัวที่มีสีนี้เป็นพันธุ์นี้ ตัวที่มีสีนั้นเป็นอีกพันธุ์ ไมค์จะบอกด้วยว่านกในลักษณะไหนเป็นนกตัวเมีย หรือในลักษณะไหนเป็นนกในวัยเด็ก ฉันไม่รู้จักเรื่องสายพันธุ์ของนกฮัมมิงเบิร์ดและยังไม่มีความชำนาญในการแยกแยะ แต่ไมค์ก็จะมีหนังสือคู่มือดูนก Field Guide to the Birds of North America อยู่ในมือเล่มหนึ่ง ที่เขาคอยเปิดและชี้ให้ลูกทีมผลัดกันมาดู


หนังสือดูนกของฉัน พิมพ์และปรับปรุงครั้งที่ 5 เป็นเล่มล่าสุดณ.ปัจจุบัน

หนังสือคู่มือดูนกเล่มนี้ของไมค์สวยมาก ข้างในบรรจุไปด้วยภาพวาดของนกชนิดต่างๆที่มีรายละเอียดชัดเจนทีเดียว และหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้ฉันตัดสินใจได้ว่า ฉันจะเลือกหนังสือคู่มือดูนกแบบเดียวกับของไมค์ แทนที่จะเลือกเล่มที่มีภาพถ่ายเป็นภาพประกอบ ตามที่เคยหมายตาไว้แต่แรก

นักดูนกบางคนในทีมจะมีหนังสือคู่มือดูนกติดตัวกันมาด้วย แต่ละคนก็จะเลือกใช้หนังสือคู่มือดูนกในชื่อปกอื่นๆหรือในชื่อผู้เขียนคนอื่นแตกต่างกันไป ทั้งนี้พวกเขาให้ความเห็นว่า การเลือกหนังสือคู่มือดูนกนั้นมักขึ้นกับความถนัดและขึ้นกับความชอบของแต่ละคน นอกจากหนังสือคู่มือดูนกแล้ว นักดูนกบางคนจะพกกระดาษโน๊ตบ้าง สมุดโน็ตเล่มเล็กๆบ้าง พร้อมปากกา ไว้สำหรับบันทึกและจดชื่อนกที่ได้เห็นในวันนี้เอาไว้ด้วย หลายคนจะมีเป้หรือกระเป๋าสะพายคนละใบไว้สำหรับใส่สิ่งของเหล่านี้ บางคนที่รอบคอบขึ้นไปอีก ก็จะมีขวดน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยวที่ช่วยให้พลังงานพกติดตัวมา แต่นอกจากฉันแล้ว.. นักดูนกเหล่านี้ไม่มีใครพกกล้องถ่ายรูปแม้แต่คนเดียว


"พวกคุณไม่ถ่ายภาพนกกันหรือ" ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย

คุณลุงสูงวัยในเสื้อยืดสีแดง ผู้เริ่มการดูนกครั้งแรกตั้งแต่วัย 17 ปีกรุณาตอบฉันว่า เขาถ่ายภาพนกด้วยเหมือนกันในบางโอกาส และเขาก็ได้ถ่ายภาพนกสวยๆจากหลายประเทศที่เขาเดินทางไปดูนก เก็บไว้มากทีเดียว ...คำว่าไปดูนกมาหลายประเทศ ทำให้ฉันถึงกับตาลุกวาว


นอกจากไมค์จะมีกล้องสองตา และหนังสือคู่มือดูนกมาด้วยแล้ว เขายังมีกล้องสโคปที่ติดขาตั้งกล้องไว้พร้อม แบกมาเพื่อให้พวกเราได้ใช้ดูนกด้วย ฉันไม่เคยมีโอกาสได้ดูนกผ่านกล้องสโคปมาก่อน นี่จึงเป็นโอกาสดีทีเดียว วันนี้เราได้ดูเหยี่ยวที่ยืนนิ่งอยู่บนสายไฟไกลลิบๆ ผ่านกล้อง สโคปตัวนี้


ไมค์พาเราเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆขรุขระ ที่สองข้างทางเป็นพงหญ้ารกๆ ถึงตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันคิดผิดที่ใส่กางเกงสามส่วน ในขณะที่บางคนในทีมเขาจะใส่กางเกงขายาวเพื่อป้องกันกิ่งไม้ คมหนาม และใบหญ้าบาดข่วน ผ่านทุ่งหญ้าไมค์พาเดินเลาะไปตามชายน้ำบ้าง ปีนเนินบ้าง ช่วงนี้เองที่ฉันมีโอกาสรู้สึกโชคดีอยู่นิด ตรงที่เลือกใส่รองเท้าหุ้มข้อคู่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม เพราะมันช่วยให้ฉันเดินในที่ยากๆได้ง่ายมาก


วันนี้พวกเราได้เห็นนกหลายชนิด แต่ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่น้อยเหลือเกินของฉันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันยังรู้จักนกน้อยมากในขณะที่นักดูนกคนอื่นต่างแสดงอาการฮือฮา เมื่อเขาได้เห็นนกตัวนั้นตัวนี้ที่อยากมาดู บางคนพอเห็นนกที่คาดหวังไว้ก็จะยิ้มดีใจ บางคนที่ไม่รู้จักชื่อนกก็จะถามไถ่ เมื่อได้ชื่อแล้ว ก็รีบควักปากกามาจดชื่อนกด้วยลามมือยุกยิก พวกเขาต้องเก็บชื่อนกตัวนั้นกลับไปเปิดตำราหรือจดลงบันทึกไว้ทำสถิติที่บ้าน ส่วนฉันก็ได้แต่จดจำประสบการณ์นี้ไว้ หลังจากได้มาเรียนรู้แบบนี้แล้ว ฉันมั่นใจว่าคราวหน้าฉันคงจะไม่มาแบบมวยวัดแน่นอน


"กล้องสองตาของคุณเป็นไงบ้าง" ไมค์หันมาถามฉัน หลังจากที่เขาต้องช่วยให้คำตอบในความรู้เกี่ยวกับกล้องสองตา ตามที่ฉันยิงคำถามใส่ "ดี คมชัดมาก" ฉันตอบอย่างไว้เหลี่ยม แล้วคิดต่อในใจว่า..ก็มันจริงนี่น่า มันก็ดีคมชัดสมราคากล้องตัวละสี่สิบห้าสิบเหรียญนั่นแหละ


คุณลุงสูงวัยในเสื้อยืดสีแดงนั้น นอกจากจะพกหนังสือคู่มือดูนกเล่มที่ต่างจากของไมค์ ซึ่งท่านใจดีส่งมาให้ฉันได้พินิจแล้ว คุณลุงยังมีอุปกรณ์ทันสมัย เป็นพวกเครื่องบันทึกเสียงนกอันจิ๋วติดมาด้วย คุณลุงเอาของเล่นชิ้นเท่รูปร่างสวยออกมาโชว์ให้ฉันและคนอื่นๆได้ดู แล้วท่านก็เปิดเสียงนกชนิดต่างๆให้ฟัง สำหรับนักดูนกแล้ว การจดจำเสียงร้องของนกได้นั้นจะมีประโยชน์มาก เพราะมันจะช่วยให้รู้ได้ว่า เสียงร้องของนกตัวที่กำลังมองหาอยู่นั้น เป็นเสียงของนกอะไร

เราใช้เวลาในการเดินดูนกกันราว 2 ชั่วโมง หลังจากจบการดูนกในทริปนี้ ทุกคนต่างมีความสุข คนที่มาใหม่ก็จะให้อีเมลกัน สุดท้ายพวกเราผลัดกันกล่าวขอบคุณและเชคแฮนด์กับไมค์ พร้อมหวังในใจว่า จะได้พบกันใหม่ในการดูนกครั้งหน้า


วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ในกรง



1. ภาพชีวิตโค

ปลายเดือนตุลาคมของปี 2005 ฉันได้มีโอกาสรู้จักกับ โค นกคอคคาเทลเพศผู้ สีเทาดำตัวเล็กๆ ที่เกือบทั้งชีวิตของเขามีแต่ความเปลี่ยวเหงา


โคอาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวสีชมพูกับคุณยายซึ่งเป็นหญิงสูงอายุวัย 82 ปี แม้จะมีอายุมากแล้วแต่คุณยายก็เป็นคนที่แข็งแรงทีเดียว ในแต่ละวันคุณยายมักจะใช้เวลาทั้งหมดของเธอไปกับการขุดดินและปลูกต้นไม้ในสวนที่โอบล้อมบ้านของเธอไว้ สวนของคุณยายก็ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่มันก็มีเนื้อที่เพียงพอสำหรับให้คุณยายได้ปลูกต้นไม้หลายชนิดที่เธอรักไว้จนเต็ม อันที่จริงสวนของคุณยายน่าจะเข้าข่ายที่จะเรียกได้ว่ารกเสียมากกว่า เพราะหากคุณยายเห็นพื้นดินดำๆว่างอยู่ตรงไหน คุณยายก็จะปลูกต้นไม้ลงไปตรงนั้น ไม่มีการวางแผน ไม่มีการออกแบบ ด้วยเหตุนี้ไม้ดอกและไม้ผลหลากหลายชนิดของคุณยายจึงขึ้นเบียดเสียดกัน จนแทบจะหาที่ทางเดินในสวนนั้นไม่เจอ


บ้านของคุณยายปลูกอยู่อีกฝั่งถนน ตรงข้ามกับที่พักของฉัน เธอจะอยู่ที่บ้านนี้เพียงลำพัง โดยมีลูกๆของเธอซึ่งมีอาชีพเป็นหมอบ้าง เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังบ้าง ผลัดกันแวะเวียนมาเยี่ยมแม่ของเขาเสมอๆ ฉันได้รู้จักกับคุณยายจากการแนะนำของเพื่อนเก่าชาวกรีก พวกเราแลกและแบ่งปันต้นไม้กัน ฉันให้ต้นชวนชม ที่ฉันเพาะได้จากเมล็ดที่แม่ของฉันเก็บมาฝากจากเมืองไทยกับคุณยาย และคุณยายก็ให้ต้นแองเจิลทรัมเพ็ตสีชมพูกับฉัน


อันที่จริงถ้าจะพูดว่าคุณยายอยู่บ้านนี้เพียงลำพัง ก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะคุณยายได้เลี้ยงแมวจร 2-3 ตัวไว้ที่ลานปูนหลังบ้านด้วย แมวเหล่านี้คงมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ด้วยความที่มันมีขนสวย คุณยายก็เลยเลี้ยงพวกมันเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ โดยที่เธอจะปล่อยพวกมันให้อยู่กันเองที่นอกบ้านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในฤดูไหน ไม่ว่าอากาศที่นอกบ้านนั้นจะหนาวเย็นยะเยือกเพียงใด แมวเหล่านั้นก็รอดชีวิตมาได้ทุกปี ทั้งๆที่พวกมันไม่มีแม้กระทั่งลังกระดาษให้ซุกตัวนอน


นอกจากแมวแล้ว คุณยายก็ยังเลี้ยงนกคอคคาเทลไว้ตัวหนึ่งเธอเรียกเขาว่า "โค" บ้าง เรียกว่า "โคเบริ์ด" บ้าง ชื่อของโคแปลว่า นักรบ และจะอ่านออกเสียงว่า โคอะ ตามภาษาท้องถิ่นของชาวเกาะฮาวาย เกาะที่คุณยายเติบโตมา


คุณยายบอกกับฉันว่า โคมาอยู่กับเธอนานมากกว่าสิบปีแล้ว ก่อนหน้าที่โคจะมาอยู่กับคุณยาย โคเคยเป็นนกของหลานชายเธอ


ในอดีตนั้นโคเคยมีบ้านที่อบอุ่น มีพ่อมีแม่ ผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อโคมาจากร้านขายนก เพื่อให้เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกชาย แต่เมื่อวันเดือนปีผ่านไป หลังจากที่เด็กชายคนนั้นเติบโตเปลี่ยนวัย เขาก็ไม่มีเวลาให้โคอีกต่อไป และไม่ว่าโคจะแสดงให้ทุกคนในบ้านเห็นว่า เขาเป็นนกที่มีความสามารถเพียงใด สุดท้าย...โคก็ถูกพามาทิ้งไว้ที่บ้านของคุณยาย


เมื่อคุณยายยอมให้ฉันได้เห็นและรู้จักโค นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกตกใจกับสภาพความเป็นอยู่ของเขา


คุณยายเดินนำฉันเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขก ผ่านครัว แล้วตรงไปยังซอกมุมเล็กๆที่เป็นทางออกไปสู่หลังบ้าน ซอกตรงนี้มีความกว้างและลึกไม่ถึง 2 เมตร ด้านซ้ายเป็นผนังหลังห้องนอน ด้านขวาเป็นผนังของโรงจอดรถที่ถูกทิ้งร้าง ปลายสุดเป็นผนังกระจกและประตูกระจกบานเลื่อนที่จะเปิดออกไปสู่ลานปูนนอกบ้าน ซอกมุมตรงนี้เป็นที่ค่อนข้างลับตา คุณยายจึงใช้มันเป็นที่เก็บกองอุปกรณ์ทำสวนและข้าวของเหลือใช้จิปาถะ ตามประสาคนแก่ทั่วๆไปที่มักเสียดายไม่อยากทิ้งของ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ไม้กวาด อาหารแมว หนังสือพิมพ์เก่า เก้าอี้เก่า อาหารแห้งที่หมดอายุกับของสะสมที่ไม่มีค่า ก็จะถูกทิ้งอยู่ตรงนี้ด้วย ข้าวของบางส่วนจะถูกเก็บไว้อยู่ในตู้ไม้เก่าๆ บางส่วนก็จะวางกองสุมอยู่ตามพื้น.... และที่ตรงนั้นเอง เป็นที่อยู่ของโค


กรงของโคถูกวางไว้บนเก้าอี้ไม้เก่าๆตรงปลายสุดทางเดินของซอกเก็บของนั้น ด้านหลังกรงจะหันชนเข้ากับผนังกระจกซึ่งติดกับประตูบานเลื่อน โดยมีมู่ลี่ที่ปิดบ้างเปิดบ้างตามแต่โอกาสแขวนไว้ที่บานกระจกด้วย ถ้ามู่ลี่ถูกปิดไว้โคก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้ามู่มลี่เปิดแง้มออก โคก็จะเจอกับฝูงแมวที่อาศัยอยู่นอกบ้านกับข้าวของเหลือใช้ที่กองทิ้งไว้แถวนั้น แต่ไม่ว่าจะมองซ้าย มองขวาหรือจะมองไปข้างหน้า โคก็จะเห็นแต่กองข้าวของรกเรื้อมากมาย และที่แย่ไปกว่านั้น ในซอกมุมนี้โคจะไม่สามารถมองเห็นภาพบรรยากาศภายในบ้านได้เลย โคไม่มีโอกาสได้เห็นภาพชีวิตประจำวันและไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆของคนในบ้าน ภาพเดียวที่โคจะมองเห็น คือภาพแห่งความโดดเดี่ยว... เปลี่ยวเหงา


ฉันมีความรู้สึกสลดหดหู่กับความน่าเวทนาของโค ไม่น่าเชื่อเลยว่า..จะมีนกตัวเล็กๆตัวหนึ่งถูกเลี้ยงในสภาพเช่นนี้


โคจะใช้ชีวิตประจำวันของเขาอยู่ในกรงที่มีขนาดเล็ก มันเล็กจนแม้นกที่มีขนาดเล็กที่สุดก็ไม่สมควรอยู่ ฉันไม่ชอบกรงของโคเอาเสียเลย เพราะนอกจากมันจะเป็นกรงที่บอบบางไม่แข็งแรงแล้ว มันยังเป็นกรงที่ออกแบบได้พึลึกอีกด้วย กรงใบนี้ทรงแคบสอบสูง แต่มีด้านบนเป็นหลังคาทรงป่องป้อมยื่นออกมา ทำให้กรงดูเป็นทรงแขกอินเดีย กรงลักษณะนี้ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของนก เพราะนกต้องการกรงทรงกว้างและยาว ไม่ใช่กรงทรงสูงและแคบ ความเป็นอยู่ของโคในกรงนี้จึงเข้าขั้นอึดอัด ไม่สะดวกสบาย โดยเฉพาะเมื่อโคต้องอยู่ในนั้นตลอดเวลา นานมากกว่าสิบปี


อันที่จริงแล้วฉันอยากจะพูดว่า.... มันไม่มีกรงใบไหนในโลก ที่จะเป็นกรงที่ดีที่สุดสำหรับนก


กรงของโคจะไม่มีตะแกรงรองพื้นเหมือนอย่างที่กรงนกทั่วไปมีไว้ใช้กันนกออกจากสิ่งสกปรกที่ใต้พื้นกรง คุณยายได้ถอดตะแกรงนั้นออก แล้วปูกระดาษหนังสือพิมพ์ทับลงบนถาดรองมูล แต่เมื่อกระดาษหนังสือพิมพ์ไม่เคยถูกดึงออกมาเปลี่ยนทิ้งเพื่อกำจัดสิ่งสกปรก โคก็จำต้องเดินอยู่บนเศษอาหารและมูลของตัวเองที่สะสมเป็นกองเรี่ยราดอยู่ในนั้น โดยมูลของโคจะมีมากเป็นพิเศษในตำแหน่งที่โคชอบยืนเป็นประจำ


ในขณะที่ฉันยืนดูอยู่นั้น โคกำลังก้มลงคุ้ยเขี่ยเก็บกินเศษเมล็ดพืชร่วงหล่น ที่ผสมปนเปกับมูลตามพื้นกรง


คุณยายได้หักกิ่งไม้เล็กๆที่มีขนาดใหญ่กว่าตะเกียบคีบก๋วยเตี๋ยวไม่มากนักจากในสวนของเธอ เอามาเสียบคาซี่กรงไว้อย่างลวกๆ เพื่อใช้ทำเป็นคอนซึ่งโคจะต้องใช้มันสำหรับยืนตลอดเวลา แต่นกในขนาดโคจำเป็นต้องยืนบนคอนไม้ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้ว การใช้คอนที่ผิดขนาดจึงส่งผลเสียให้กับข้อกระดูกนิ้วเท้าของโค ฉันไม่รู้ว่าโคจะต้องใช้กิ่งไม้นี้ยืนต่างคอนอย่างไม่มีทางเลือกมานานสักกี่ปี แต่หากจะประมาณจากความหนาของมูลแห้งที่เคลือบอยู่บนกิ่งไม้แล้วละก็ ไม้ชิ้นนี้คงอยู่กับโคมานานทีเดียว


ในกรงจะมีถ้วยอาหารพลาสติกใบเล็กๆอยู่ 2 ใบ ฉันชะโงกดูในถ้วยใบหนึ่งก็พบว่า ถ้วยนั้นเต็มไปด้วยเปลือกของเมล็ดพืชที่จับตัวหลวมๆจนกลายเป็นก้อน ดูเหมือนมันจะมีมอดมาอาศัยอยู่ โคได้กินเนื้อในของเมล็ดพืชหมดไปนานแล้ว แต่ถ้วยใบนี้คงไม่เคยขยับออกมาจากกรงเลย ส่วนถ้วยอาหารอีกใบซึ่งมีคราบมูลของโคเลอะเทอะติดอยู่ตามขอบ คงเป็นถ้วยใบเดียวที่จะมีเมล็ดพืชซึ่งเป็นอาหารของโคใส่ไว้เป็นประจำ นอกจากถ้วยอาหารแล้ว ในกรงจะมีถ้วยน้ำดื่มอยู่หนึ่งใบ ฉันชะโงกดูที่ถ้วยน้ำดื่มของโค และพบว่าน้ำในถ้วยนั้นขุ่นมัวและมีผงฝุ่นดำๆลอยอยู่บนผิวน้ำ คุณยายคงไม่ค่อยได้เปลี่ยนน้ำสะอาดใหม่ๆให้โคบ่อยนัก


บนหลังคากรง ฉันมองเห็นขนมปังปิ้งแห้งๆแข็งๆครึ่งชิ้นเสียบค้างคาอยู่กับซี่กรง มันคงเป็นอาหารของโคที่ถูกเสียบทิ้งไว้อย่างนั้นหลายวันมาแล้ว ใกล้ๆกับชิ้นขนมปัง ยังมีเมล็ดพืชอัดแท่งรูประฆังซึ่งเป็นอาหารสำหรับใช้เลี้ยงนกในธรรมชาติก้อนใหญ่กว่ากำปั้น ใส่อยู่ในถุงตาข่ายสีชมพู แขวนทิ้งไว้หนึ่งก้อน อาหารก้อนนี้ถูกแทะไปน้อยมาก ฉันคิดว่าโคคงไม่อยากกินมันหากไม่จำเป็น ดูจากฝุ่นที่จับตัวกันจนเป็นปุยหนาฟูฟ่องเหมือนละอองหิมะในฤดูหนาว ฉันก็รู้ได้เลยว่า เจ้าอาหารก้อนนี้มันคงถูกแขวนทิ้งค้างคาไว้อย่างนั้นมานานแรมปี


ฉันทักทายโคด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจนั้นซ่อนไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย โดยเฉพาะเมื่อฉันต้องระมัดระวังคำพูดและกริยาที่จะไม่ทำให้คุณยายรู้สึกอึดอัด ส่วนคุณยายก็ได้แต่ออกตัวว่า.. เธอไม่ค่อยมีเวลา


ฉันกล่าวลาคุณยายแล้วเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หดหู่ ความคำนึงของฉันในวินาทีนั้นมีแต่ภาพของโค ภาพที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ภาพของโคก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของฉันไม่เลือนหาย ฉันไม่อยากให้โคต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น แม้เพียง... อีกคืนเดียว


ฉันตัดสินใจจัดหาข้าวของที่จำเป็นสำหรับนกใส่ลงในถุง แล้วหยิบหนังสือการจัดตกแต่งสวน 2-3 เล่มติดไปให้คุณยายด้วย อย่างน้อยหนังสือคงจะช่วยไม่ให้ดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป เมื่อฉันต้องกลับไปที่บ้านของคุณยายอีกครั้งในวันเดียวกันอย่างนี้ ฉันขออนุญาตคุณยาย ก่อนที่จะจัดการทำความสะอาดกรงให้โค กรงของโคทำความสะอาดไม่ง่ายนัก เพราะมูลที่ทับถมแห้งกรังตามขอบกรงมานานได้จับตัวกันจนแน่นแข็ง เมื่อกรงสะอาดฉันจึงจัดการเอาข้าวของที่ฉันนำมาด้วย จัดตกแต่งกรงให้โคเสียใหม่ ฉันติดตั้งคอนอันใหม่ที่เหมาะกับขนาดเท้าของโคลงไปในกรง ฉันวางบันไดไม้อันเล็กๆพาดไว้ให้โคใช้ปีนเล่น แล้วฉันก็ติดตั้งถ้วยอาหารใบใหม่ที่ใส่อาหารใหม่ๆให้โค ฉันล้างถ้วยน้ำแล้วเปลี่ยนน้ำดื่มสะอาด พร้อมกับจัดผักสดใบเขียว ใส่ลงในขวดเล็กๆที่มีน้ำหล่อที่ก้นขวด วางไว้ให้โคแทะเล่นที่พื้นกรง ฉันแขวนของเล่นให้โคเป็นสิ่งสุดท้าย คืนนี้โคคงหลับสบายกว่าทุกคืน

จากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็อาสาช่วยทำความสะอาดกรงให้โค ฉันจะไปที่บ้านของคุณยายทุกวันจันทร์ และทุกครั้งที่ฉันไปที่นั้นฉันไม่เคยไปมือเปล่า แต่ฉันจะจัดอาหารไปให้โคด้วยเสมอๆ ฉันจะต้มไข่ ต้มพาสต้า จัดขนมปังธัญพืช 4 ชิ้น จัดผักสดต่างๆที่ล้างสะอาด และอาหารอื่นๆตามโอกาส อาหารของโคทุกอย่างจะถูกจัดใส่ลงเป็นถุงๆแยกไว้ เพื่อให้คุณยายสะดวกที่จะหยิบมันมาใช้ให้โคกินได้อย่างเพียงพอในหนึ่งสัปดาห์


แต่ไม่ว่าฉันจะจัดเตรียมทุกอย่างให้โคไว้ดีเพียงใด ทุกครั้งที่คุณยายเปิดตู้เย็น ฉันก็จะมองเห็นขนมปังที่ฉันจัดมาให้โคถูกเก็บสะสมรวมกันอยู่ในนั้นหลายๆถุง บางถุงยังไม่เคยเปิดใช้ด้วยซ้ำ ไข่ต้มที่ฉันทำให้โคก็จะถูกซุกเก็บไว้นานจนเน่า คุณยายไม่ได้เอาใจใส่ให้อาหารเหล่านี้กับโคเลย เธอยังคงให้อาหารที่เธอเคยชินและสะดวก คุณยายไม่เคยมีเวลาสำหรับโค


แม้จะรู้จะเห็นเช่นนั้น ฉันก็ยังคงจัดอาหารให้โคเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอย่างน้อยโคก็จะได้กินมันในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่ฉันจะจัดอาหารใส่ถ้วยให้เขาด้วยตัวเอง


ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันได้กรงใบใหม่มาให้โค กรงใบนี้ฉันได้มาจากคุณบอนนี่ ผู้เป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้งองค์กรอุปการะนกที่ฉันเป็นสมาชิกอยู่ คุณบอนนี่ใจดี เพราะนอกจากเธอจะให้กรงที่มาพร้อมกับถ้วยอาหารและคอนแล้ว เธอก็ให้ของเล่นนกติดมาด้วยอีกหนึ่งชิ้น กรงใหม่ใบนี้แม้มันจะไม่ใช่กรงที่มีขนาดใหญ่นัก แต่มันก็ดีกว่ากรงเดิมที่โคอยู่มากมายทีเดียว


เมื่อโคมีกรงใหม่ ฉันจึงถือโอกาสขอให้คุณยายขยับที่วางกรงของโคออกมาจากซอกเดิม กรงใหม่จึงได้วางตรงสุดทางเดินของห้องครัว ที่ตรงนี้โคจะได้มีโอกาสมองเห็นบรรยากาศภายในบ้านบ้าง


จากเดิมที่ต้องเช็ดทำความสะอาดกรงให้โคในซอกหลังบ้านมานาน ฉันก็รวบรวมความกล้าแล้วขอใช้ห้องน้ำของคุณยาย เพื่อให้กรงของโคได้ผ่านน้ำก็อกร้อนๆเพื่อฆ่าเชื้อโรคสักครั้ง แต่คุณยายไม่อนุญาตเพราะเธอกลัวว่ากรงของโคจะทำให้ห้องน้ำของเธอสกปรก เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจึงได้แต่ขอยืมกระบอกฉีดน้ำของเธอมาใช้ล้างกรงให้โคแทน ฉันจะเติมน้ำอุ่นจากก็อกน้ำในครัว แล้วฉันก็หิ้วกรงของโคออกไปที่หน้าบ้าน ในสวนหน้าบ้านมีเก้าอี้ไม้ยาวเก่าๆหนึ่งตัว ฉันจะวางกรงของโคลงตรงนั้น แล้วจัดการฉีดล้างกรง แต่กว่าที่กรงจะสะอาดดังใจ ฉันก็ต้องวิ่งเข้าออกบ้านคุณยายเพื่อเติมน้ำอุ่นอยู่หลายครั้ง ทำให้การล้างกรงเพียงใบเดียวต้องใช้เวลานานอย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ฉันไม่มีแม้โอกาสที่จะขอใช้สายยางรดน้ำต้นไม้ของคุณยายเอามาฉีดล้างกรง เพราะฉันรู้ตัวดีว่าหากฉันเรื่องมาก ต่อรองและไม่เจียมตัวละก็ คุณยายอาจรำคาญ แล้วฉันก็อาจไม่ได้มาล้างกรงให้โคอีกเลย


บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกทดท้อต่อความยุ่งยาก ลำบากและเหนื่อยล้า ที่งานล้างกรงง่ายๆต้องกลายเป็นความทรมาน โดยเฉพาะในวันที่ฉันต้องยืนล้างกรงท่ามกลางแดดแรงในฤดูร้อน และในวันที่ต้องยืนตากลมเย็นเยียบในฤดูหนาว แต่ทุกครั้งเมื่อกรงของโคสะอาดเอี่ยม ฉันก็ลืมความรู้สึกนั้นไปจนหมด


ในวันที่อากาศโปร่ง ฟ้าใสและแดดอ่อนอุ่น ฉันจะถือโอกาสพาโคใส่กรงออกมาในสวนหน้าบ้านด้วย ที่หน้าบ้านโคจะได้รับอากาศบริสุทธิ์ ได้เห็นวิวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน บางครั้งฉันก็จะถือโอกาสอาบน้ำให้เขา ด้วยการฉีดพ่นละอองฝอยของน้ำอุ่นอ่อนๆจากกระบอกฉีดน้ำลงไปบนตัวของเขา เมื่อละอองน้ำตกถึงตัว โคก็จะกางปีกสีเทาของเขาออกเพื่อรับน้ำอย่างสนุกสนานทีเดียว หลายปีมาแล้วที่โคไม่เคยมีโอกาสอาบน้ำ การได้อาบน้ำอย่างนี้จะช่วยให้โคสดชื่นสบายตัว และช่วยให้ผิวที่แห้งผากของโคชุ่มชื่น หลังอาบน้ำฉันจะปล่อยให้โคได้ไซ้ขนและผึ่งแดดอ่อนอุ่น โดยที่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดเวลา


เมื่อฉันจัดการทำความสะอาดกรงและจัดมันเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันก็จะดูแลกวาดพื้นรอบๆบริเวณกรง เพื่อเก็บทิ้งเศษเมล็ดพืชที่โคทำกระเด็นตกลงมาอยู่บนพรมปูพื้น ฉันจัดอาหาร จัดน้ำสะอาดให้โคก่อนที่จะพาเขากลับเข้ากรง และนั่นก็เป็นอันว่าหมดหน้าที่ของฉันในวันนั้นแล้ว





2. เพื่อนของโค

ในบางครั้งเมื่อฉันไปถึงบ้านคุณยาย ฉันจะพบว่า กรงของโคถูกปิดคลุมไว้อย่างมิดชิดด้วยผ้าสีหม่นที่พับซ้อนทับกันถึง 2-3 ชั้น คุณยายมักจะคลุมผ้าปิดกรงของโคไว้อย่างนี้ หากคุณยายรู้สึกรำคาญเสียงร้องของโค แต่สำหรับโคแล้วการถูกปิดผ้าคลุมกรงในเวลากลางวันแสกๆ เป็นการทรมานความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก เพราะเขาจะรู้ดีว่าเขากำลังถูกตัดออกจากโลกภายนอก โลกแห่งความผูกพันที่เขาโหยหา ที่ใต้ผ้าผืนนั้นโคจะรู้สึกหวาดกลัวและสับสน เขาไม่รู้หรอกว่าเขามีความผิดอะไร จึงได้ถูกลงโทษด้วยการปิดคลุมกรง วินาทีนั้นโคก็มีสภาพไม่ต่างไปจากนักโทษที่ถูกส่งตัวไปในคุกมืด ไม่ต้องเห็นเดือน ไม่ต้องเห็นตะวัน


มันไม่ใช่ความผิดของโคเลย ที่เขาจะส่งเสียงร้องด้วยความรู้สึกอึดอัด อึดอัดที่เขาไม่เคยได้รับในสิ่งที่เขาต้องการ อึดอัดที่ไม่สามารถสื่อสารพูดภาษาให้คุณยายเข้าใจได้ โคอาจจะอยากให้คุณยายเดินมาหา แล้วทักทาย หรืออาจอยากให้คุณยายรับเขาออกมานอกกรงบ้าง เขาอาจอยากนั่งเล่นเป็นเพื่อนดูทีวีกับคุณยายที่ห้องรับแขก เขาอาจอยากเดินเล่นบนโซฟาตัวโต แต่โคผู้เปลี่ยวเหงา ว้าเหว่และเดี่ยวดาย... ก็ถูกปล่อยปละละเลย


นกที่มีสุขภาพดีมักจะไม่ร้องโยเย แต่นกที่ร้องตลอดเวลามักเป็นนกที่มีปัญหา ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดขึ้นจากความบกพร่องทางกาย เช่น ความเจ็บป่วย หรือเกิดจากความบกพร่องทางใจ เช่น ความรู้สึกเหงาเศร้า คุณยายไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า..โคมีปัญหาอะไร โคต้องการอะไร แล้วคุณยายก็ตัดสินใจใช้วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการปิดผ้าคลุมกรง แล้วทิ้งโคไว้ที่ใต้ผ้าผืนมอซอนั้น


หากโคเกิดเป็นนกในป่า เขาจะมีทางเลือกและมีทางออกให้กับชีวิตมากมาย แต่น่าเศร้าที่เขาเกิดมาเป็นโค นักรบที่ต้องมายืนอยู่หลังซี่กรง


ในกรงของโคจะมีกระจกบานเล็กสีส้มที่เขารักมากอยู่อันหนึ่ง มันเป็นกระจกที่ออกแบบมาให้มีกระบอกอาหารใบเล็กๆติดอยู่ด้านหน้า กระจกบานนี้คงมาพร้อมกับโคในกรงของเขา เมื่อครั้งที่เขาถูกเอามาทิ้งไว้ที่บ้านคุณยาย ฉันสังเกตุเห็นว่า โคมักใช้เวลายืนอยู่หน้ากระจกบานนี้นาน นาน เขาจะจ้องมองดูภาพสะท้อนของตัวเองในนั้น แล้วเขาก็จะเอียงคอ ยกปีกเล็กน้อย พร้อมกับส่งเสียงหวานทักทาย "ฮัลโหล โคเบิร์ด... ฮัลโหล โคเบิร์ด..." โคคิดว่าภาพสะท้อนในกระจกนั้นเป็นนกอีกตัว นกตัวเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดเวลาเมื่อเขาต้องการ


กระจกของโคอันนี้อยู่ในสภาพเก่าชำรุด ขาเกี่ยวที่มีไว้สำหรับแขวนมันเข้ากับซี่กรงหักพังไปข้างหนึ่ง จึงทำให้มันไม่สามารถติดตั้งให้ดีได้อีกต่อไป แต่เพราะโครู้สึกผูกพันกับกระจกนี้มาก ฉันจึงต้องหาเชือกมามัดพันมันให้ยึดติดกับผนังกรงเอาไว้ แต่การจะมัดพันมันให้ดีด้วยตัวเองเพียงลำพังนั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นแม้ฉันจะพยายามัดมันให้มั่นคงเพียงใด มันก็มักจะแขวนอยู่อย่างนั้นได้สักระยะ เมื่อเชือกเริ่มหย่อนยานเพราะต้องรับน้ำหนักตัวของโคที่มักขึ้นไปยืนบนกระบอกอาหาร ทั้งกระจกและกระบอกก็มักจะตกลงมา


วันหนึ่งเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้กรงของโค ฉันมองเห็นกระจกที่โครัก ตกลงมาวางตะแคงอยู่บนพื้นในกรงของเขา โคกำลังยืนเบียดตัวเข้าชิดซี่กรงด้านหน้าแล้วพยายามอย่างมากที่จะค้อมตัวเอียงคอโค้งลง จนหัวของเขาแทบจะติดพื้นกรง เพื่อที่จะได้มองเห็นภาพสะท้อนของผู้เป็นเสมือนเพื่อนที่รักในกระจก แม้จะเห็นหน้าเพื่อนได้ไม่ชัดเจนนัก แต่โคก็ยังคงส่งเสียงทักทายเพื่อนผู้ซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในสภาพพิกลพิการ แผ่วเบา "ฮัลโหล โคเบิร์ด...."


นั่นเป็นอีกภาพของโค ที่ทำให้ฉันรู้สึกสะเทือนใจ


โคคงได้พยายามที่จะดันกระจกให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องอยู่หลายครั้ง จากมุมด้านหลังกรงที่กระจกถูกแขวนไว้ ไล่เลยมาจนถึงมุมด้านหน้ากรง ฉันไม่รู้ว่ากระจกจะตกลงมานอนตะแคงอย่างนี้กี่วันแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าโคจะอยู่ในสภาพแบบนี้มากี่วันแล้ว ฉันรู้แต่ว่า ฉันไม่อาจมั่นใจได้อีกต่อไปกับคำพูดของคุณยายที่บอกกับฉันว่า... เธอรักโค


จากวันนั้น ฉันพยายามไปทุกร้านและค้นทางอินเตอร์เน็ท เพื่อหาซื้อกระจกแบบเดียวกันนี้มาเปลี่ยนให้โค แต่ไม่ว่าฉันจะพยายามมากเพียงไร ฉันก็ไม่เคยหามันพบ หรือกระจกแบบนี้มันจะตกรุ่นไปแล้ว ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจซื้อกระจกแบบอื่นให้โค พร้อมๆกับยังคงผูกกระจกที่เขารักไว้ให้ตรงที่เดิม แต่โคไม่เคยชอบกระจกอันใหม่ของเขาเลย เขายังคงปีนขึ้นไปยืนบนกระจกอันเดิม




3. อิสระ.. ที่หัวใจ


เมื่อครั้งที่ฉันยังคงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับโค โคจะไม่ยอมรับและวิ่งหนีมือของฉันเสมอหากฉันพยายามรับเขาออกมาจากกรง ในระหว่างที่ฉันทำความสะอาดกรงให้เขา เขาก็จะปีนกรงหนีตลอดเวลา ถ้าฉันเช็ดกรงด้านซ้ายโคจะปีนหนีไปทางด้านขวา ถ้าฉันเช็ดกรงด้านขวาโคก็จะปีนหนีไปทางด้านซ้าย แม้ความหวาดกลัวคนแปลกหน้าจะถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดกับนก แต่สำหรับโคแล้ว โคยังมีปัญหาการติดกรงอีกด้วย เหตุการณ์แบบนี้มักเกิดขึ้นกับนกที่ต้องอยู่ในกรงเพียงลำพังเป็นเวลานาน มันนานจนทำให้เขากลัวและหวาดระแวงกับการที่จะต้องออกมาจากกรง สิ่งนี้เป็นปัญหาทางจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆกับนกเลี้ยงในกรง ซึ่งปัญหาการติดกรงนี้ จะทำร้ายทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของนกไปพร้อมๆกัน


นกที่ติดกรงจะไม่มีโอกาสได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะหากกรงนั้นแคบมาก และนกที่ติดกรงก็จะเป็นโรคหวาดกลัวหากเขาไม่ได้เห็นกรงของตัวเอง


เวลาผ่านไป ฉันและโคต่างคุ้นเคยกันมากขึ้น ในวันที่เขามีความสุข เขามักจะส่งเสียงกระซิบอ่อนหวาน เรียกชื่อของตัวเอง ฮัลโหล..โคเบิร์ด ให้ฉันได้ยิ้มบ่อยๆ ฉันจะใช้เวลาดูแลตัดเล็บเท้าให้โค และจะสำรวจทั้งตัวของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าโคยังคงอยู่ในสุขภาพที่ยอมรับได้ แม้จะรู้ดีว่าโคไม่ใช่นกที่มีสุขภาพสมบูรณ์ 100% ก็ตาม เพราะเมื่อฉันได้เจอกับโคครั้งแรกนั้นโคอยู่ในสภาพที่ผอมมาก ผอมจนหน้าอกของเขามีสันกระดูกแหลมโปนออกมา


เมื่อออกนอกกรงโคจะได้รับการฝึกทักษะต่างๆไปพร้อมๆกับการได้บินออกกำลังกายภายในบ้าน ฉันได้ให้การโอบกอดสัมผัสและลูบหัวเขาเสมอๆ ซึ่งฉันยังคงจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ร่างเล็กๆของโคถูกโอบไว้ในอุ้มมือแล้วซุกแนบอยู่ภายใต้อ้อมกอดของฉัน ในวินาทีนั้น โคจะหลับตาพริ้มแล้วซบหัวลงบนตัวฉันนิ่งนาน เมื่อฉันใช้นิ้วมือลูบหัวให้เขาเบาๆ ฉันก็ได้ยินเสียงของเขาร้องครางแผ่วๆออกมา


เสียงร้องของโคช่างแสนเศร้า เพราะมันได้คลุกเคล้าไว้ด้วยน้ำเสียงของความสุขที่ปะปนระคนกับความเปลี่ยวเหงา เจ็บปวดและโหยหา เสียงนั้นเองที่ทำให้ฉันต้องเบือนหน้า.... น้ำตาริน


นานเท่าไรแล้วนะ ที่โคไม่เคยได้รับการกอดสัมผัสแบบนี้ เสียงครางของโคบาดลึกลงในหัวใจของฉัน


ฉันหันหลังให้คุณยายเพื่อที่จะซ่อนความรู้สึก ที่เหมือนมีก้อนหินแห่งความระทมถมทับหนักอึ้งอยู่ในหัวใจเอาไว้ ก่อนที่จะซุกหน้าปาดน้ำตาลงบนไหล่ ฉันเก็บกลืนก้อนโศกแล้วโยกตัวเห่กล่อมโค เหมือนดังว่าเขาเป็นเด็กทารกในอ้อมอกแม่ ฉันรู้ดีว่า แม้ว่าฉันจะรักและสงสารโคมากเพียงใด แต่ฉันคงไม่สามารถช่วยโคให้พ้นไปจากสภาพนี้ได้ และแม้ฉันจะอยากกอดโคอย่างนี้ให้นานแสนนานเพียงไร ฉันก็คงไม่ได้รับโอกาสที่จะทำเช่นนั้นให้กับโคได้ทุกวัน แค่วันจันทร์เพียงวันเดียว คงเป็นโอกาสเพียงเท่านั้นที่ฉันจะได้รับจากคุณยาย


ถึงคุณยายจะมีโคอยู่เป็นเพื่อน แต่คุณยายก็ดูแลโคแค่เพียงผิวเผิน เธอไม่อยากแม้จะเจียดเงินเพื่อที่จะซื้ออาหารดีๆให้โค และเธอก็ไม่ยอมต้มไข่ให้โคกินตามที่ฉันแนะนำ โดยเธอให้เหตุผลว่าเธอไม่กินไข่ต้ม เธอไม่เคยซื้อของเล่นให้โคเพราะเธอบอกว่ามันสิ้นเปลือง ความรักทั้งหมดของคุณยายดูเหมือนจะอยู่ที่นอกบ้านกับต้นไม้ของเธอ เธอจ่ายเงินซื้อต้นไม้ใหม่ๆ เธอให้เวลากับต้นไม้เกือบทั้งวัน จนเธอหลงลืมไปว่า ชีวิตที่รออยู่ในบ้านนั้นมีความรู้สึกและมีจิตวิญญาณ มากกว่าต้นไม้ที่ข้างนอก


ฉันรู้ดีว่าในระหว่างสัปดาห์ที่ฉันไม่ได้มาทำความสะอาดกรงให้โค คุณยายก็จะไม่เคยดูแลกรงให้โคเลย เธอจะทำเพียงให้เมล็ดพืชและเปลี่ยนน้ำ 2-3 วันต่อครั้ง หากเธอไม่ลืม ดูจากความขุ่นมัวของน้ำดื่มฉันก็รู้ได้ชัดเจน ที่แย่ไปกว่านั้นในบางครั้งฉันยังพบว่า ในน้ำดื่มของโคจะมีมูลสีเขียวกองโตของโคลอยอยู่ จนดูน่าคลื่นเหียน ฉันคิดว่าโคคงไม่มีทางเลือกอื่นหากเขากระหายน้ำ เขาก็ต้องดื่มมัน นกเลี้ยงที่ต้องถูกขังในกรงตลอดเวลา ไม่มีโอกาสขวนขวายหาทางเลือกให้ชีวิตของตัวเอง หากโชคร้ายเจ้าของลืมให้น้ำ นกส่วนใหญ่ก็จะตายภายในเวลาไม่เกิน 24-48 ชั่วโมง


พฤติกรรมอย่างหนึ่งของโค ที่เกิดขึ้นเสมอบ่อยครั้งเมื่อฉันเปิดประตูกรงแล้วยื่นมือรับเขาออกมานอกกรงก็คือ เขาจะบินออกจากมือของฉันทันที มันเป็นการบินอย่างรวดเร็ว สุดกำลังเพื่อตรงไปที่ประตูหน้าบ้าน โคจะบินไปเกาะที่ประตูเหล็กซึ่งเป็นประตูฉลุลาย รูเล็กๆหลายๆรูที่ประตูช่วยให้โคสามารถมองเห็นวิวที่นอกบ้านได้ เมื่อยึดเกาะประตูเหล็กได้มั่นคง โคจะปีนสูงขึ้นไปจนถึงขอบประตูด้านบน ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาจับตัวเขาแล้วพาเขาให้พ้นออกมาจากประตูนั้น


สายตาของโคที่จ้องมองตรงออกไปข้างนอกบ้านนิ่งนานนั้น เป็นสิ่งเดียวที่หยุดฉันเอาไว้ ไม่ให้เข้าไปรับตัวเขาออกมาจากประตู ฉันจะปล่อยให้โคใช้เวลาที่เขาพึงใจไปกับวิวนอกบ้าน ประตูเหล็กคงขังโคได้แค่เพียงร่างกาย แต่มันไม่อาจขังหัวใจและวิญญาณอิสระของโค ที่กำลังโบยบินออกจากบ้านสีชมพูหลังนี้ไปได้


คงจะมีแต่หัวใจของโคเท่านั้นกระมัง.... ที่ไม่เคยถูกจองจำ


4. อนาคตที่มองไม่เห็น


สิ่งเดียวที่ฉันจะทำให้โคได้ก็คือ ฉันต้องช่วยให้ทั้งโคและคุณยายมีความผูกพันกันมากขึ้น ฉันมักหาบทความเกี่ยวกับการดูแลนกไปให้คุณยายอ่าน ฉันจะแนะนำสิ่งต่างๆที่คุณยายควรต้องรู้ในการดูแลโค ฉันจัดยาพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับโคไปให้คุณยาย ในวันหยุดช่วงปิดเทอม หลานสาว 3 คนของคุณยายซึ่งจะมาที่บ้านคุณยายทุกวันจันทร์ ก็จะได้เรียนรู้การดูแลนกจากฉันด้วย เด็กๆสนุกกับโคและโคก็ชอบเด็กๆ พวกเขาได้ใช้เวลาสนุกกันและโคก็ได้ออกมาเล่นนอกกรงนานๆ ฉันหวังว่าสักวันหากคุณยายตัดสินใจยกโคให้หลานๆของเธอตามที่เด็กๆร้องขอ โคน่าจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ แต่ดูเหมือนคุณยายยังไม่เคยคิดจะยกโคให้กับใคร เพราะเธอคงไม่อยากรู้สึกว่า ตัวเองต้องอยู่ลำพังคนเดียวจริงๆ


ฉันทำหน้าที่ดูแลโคอย่างนี้ อยู่เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม !


แม้ว่าฉันจะดูแลโคมาตลอดเวลาด้วยการให้และไม่รับสิ่งตอบแทน แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่คุณยายจะอนุญาตให้ฉันได้เข้าไปในบ้านของเธอเพื่อดูแลโค บางครั้งหากคุณยายเหนื่อยมาจากการดูแลต้นไม้ในสวน คุณยายก็ปฏิเสธฉัน เพราะเธอต้องการจะนอนพักผ่อน หากวันไหนที่ฉันต้องเจอสถานการณ์แบบนั้น ฉันก็ทำได้เพียงฝากอาหารที่ฉันเตรียมมาแล้วให้คุณยาย แล้วเดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง ฉันรู้ดีว่านับจากนี้ไปอีก 7 วัน โคก็จะต้อง อยู่ในกรงสกปรกต่อไปอีกถึง 14 วันทีเดียว ความกังวลมากมายผุดขึ้นในใจ โคจะมีน้ำสะอาดกินไหม คุณยายจะลืมให้อาหารโคหรือเปล่า


นี่มันเป็นชะตากรรมของฉันที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลโค หรือมันเป็นชะตากรรมของโค ที่จะต้องตกในสภาพแบบนี้ หรือเราต่างมีชะตากรรมร่วมกัน คิดได้เพียงเท่านั้น น้ำตาฉันก็ไหลริน....


ฉันสงสารโคเหลือเกิน


5.วันสุดท้าย....


และแล้ววันที่เราต้องจากกันก็มาถึง มันเป็นช่วงปลายปี 2006 ที่คุณยายมักจะมีข้ออ้างที่ทำให้เธอไม่พร้อมที่จะเปิดประตูรับฉันเพื่อทำหน้าที่ดูแลทำความสะอาดกรงให้โค เธอจะเหนื่อยบ้าง ป่วยบ้าง ไม่ได้ยินเสียงกริ่งบ้าง สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้ว่า คุณยายกำลังเบื่อกับการที่เธอต้องรอให้ฉันทำความสะอาดกรงและให้เวลาโคได้ออกมาเล่นนอกกรงแม้สักเพียงครึ่งชั่วโมง คุณยายคงรู้สึกว่า สิ่งที่ฉันทำให้โคเป็นภาระของเธอ


หลายสัปดาห์ติดต่อกัน ที่ฉันต้องเดินกลับบ้านท่ามกลางสายลมหนาว กับหัวใจที่ว่างเปล่า....


ในที่สุด ฉันก็ได้เจอกระจกที่ฉันค้นหามันมาตลอดเวลา และช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ฉันไปเจอมันในมุมขายอาหารและอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ไกลจากบ้านนี่เอง ปกติฉันจะไม่ไปที่ร้านนี้บ่อยนัก ต่างจากคุณยายซึ่งเธอจะจับจ่ายซื้อของที่นี่เป็นประจำ และเธอก็ซื้ออาหารของโคจากร้านนี้ ฉันเดาว่าคุณยายน่าจะเห็นกระจกนี้มาวางขายก่อนที่ฉันจะเห็น แต่ก็น่าประหลาดที่คุณยายไม่เคยคิดจะซื้อกระจกนี้ให้โค แม้มันจะมีราคาแค่เพียงเศษเงิน

ฉันเลือกกระจกใบที่ดีที่สุด จ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านด้วยความดีใจ กลับถึงบ้านฉันถ่ายรูปกระจกเก็บไว้ 2-3 รูป แล้วจัด การเก็บมันใส่ถุง เย็นนี้ฉันจะรีบไปบ้านคุณยายแล้วเอากระจกอันใหม่ไปแขวนให้โคด้วยตัวเอง ฉันไม่ได้เจอโคมาหลายสัปดาห์แล้ว แม้ฉันจะรู้ตัวดีว่าโอกาสที่ฉันจะได้เจอโคนั้นมีน้อยเหลือเกิน แต่ฉันก็คว้ากล้องถ่ายรูปติดมือไปด้วย ฉันอยากเก็บภาพแห่งความสุขนี้ไว้


ฉันไปถึงบ้านคุณยาย เธอเปิดประตูรับแต่ไม่ได้เชิญให้ฉันเข้าบ้าน เธอบอกว่าเธอไม่ค่อยสบาย ฉันรู้สึกผิดหวังอีกครั้งและกำลังชั่งใจว่าจะยังไม่ให้กระจกกับคุณยายและจะกลับมาใหม่วันหลัง แต่ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจหยิบกระจกออกมาจากถุงแล้วยื่นมันให้คุณยาย กระจกนี้มีความหมายกับโคมาก ฉันไม่อยากให้โคต้องรอ... แม้เพียงอีกวันเดียว คุณยายมองกระจกในมือฉันแล้วปฏิเสธไม่ยอมรับ เธอบอกว่าฉันไม่ควรจะซื้อมันมาเพราะมันสิ้นเปลืองและให้ฉันเอามันไปคืนร้าน คุณยายพูดเช่นนั้นทั้งๆที่เธอก็รู้มาตลอดเวลาว่า ฉันพยายามทุกทางเพื่อหาซื้อกระจกแบบนี้ให้โค....


ฉันอึ้ง.. ความรู้สึกยากๆหลายอย่างวิ่งเข้ามากระทบใจ ฉันเจ็บปวด ผิดหวัง สงสารโค สงสารตัวเอง


ฉันยืนยันขอให้คุณยายช่วยรับกระจกอันนี้ไว้ อย่างน้อยก็ขอให้ถือเสียว่า กระจกนี้เป็นของขวัญที่ฉันจะให้โคในวันคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง คุณยายมีสีหน้านิ่ง ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ยากที่จะเข้าใจ แล้วเธอก็รับกระจกนั้นไว้....


ฉันกล่าวลาคุณยาย..... แล้วหันหลังให้ประตูเหล็กฉลุลายสีดำที่คุณยายกำลังใช้มือผลักมันให้ปิดลง ประตูเหล็กที่กั้นขวางอิสระภาพของโค ขณะนี้มันได้กั้นขวางฉันออกจากโคเช่นกัน วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะมาที่นี่ มันเป็นวันสุดท้ายที่ฉันไม่มีโอกาสแม้จะได้เข้าไปทักทายและเห็นหน้าโค ฉันเดินลงบันไดสองสามขั้น แล้วตัดสินใจลาจากบ้านคุณยายตลอดกาล


มันเป็นระยะทางเดินกลับบ้านที่แสนยาวไกล ด้วยหัวใจที่แสนว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกที่แสนปวดร้าว และด้วย.... แสนหยดน้ำตา


ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว เวลาผ่านไปหนึ่งปี ฉันมองเห็นคุณยายตัดแต่งกิ่งไม้และดูแลสวนที่หน้าบ้านของเธอ คุณยายยังคงแข็งแรงเหมือนเมื่อปีก่อน ส่วนฉันก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า หนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ฉันได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับโคแล้ว โคมีทุกอย่างที่นกตัวหนึ่งควรจะมีเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน แม้ฉันจะยังอยากทำสิ่งดีๆให้กับโคตราบเท่าที่เขาจะมีชีวิตอยู่ แต่เวลาของเรามีเท่านี้เอง จากวันนั้นมาสิ่งเดียวที่ฉันได้ทำให้โคและคุณยายเสมอ คือ การสวดภาวนา


ฉันคิดถึงโค แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะมีความเป็นอยู่อย่างไร หรือแม้หากเขาจะยังคงมีลมหายใจ... อยู่ภายในบ้านสีชมพู

December 17, 2007

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ความรู้.. รายทาง

ทางเข้า Kumeyaay Lake มองเห็นน้ำใสอยู่ข้างหน้า

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างใน Mission Trails Regional Park ซึ่งฉันติดอกติดใจก็คือแผ่นป้ายและบอร์ดต่างๆที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆตามทางเดิน ป้ายและบอร์ดเหล่านี้จะโชว์ภาพที่บอกว่าตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน และที่ตรงนี้มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ดั้งเดิมของชีวิตชนเผ่าชาวอินเดียนแดง เจ้าของบ้านตัวจริงของประเทศนี้ รูปวาดสวยงามช่วยบอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากเลย


บอร์ดนี้นอกจากจะบอกว่ามีนกชนิดใดให้ดูในบริเวณนี้แล้ว ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูนกขั้นพื้นฐานด้วย

ป้ายและบอร์ดที่ฉันอยากพูดถึงในบล็อกนี้ก็แน่นอน ต้องเป็นชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับชื่อบล็อก Watch Me Fly ซึ่งก็คือป้ายและบอร์ดต่างๆที่เกี่ยวกับนก ฉันชอบแนวความคิดของการออกแบบสร้างบอร์ดที่แสดงภาพชนิดนก และบอร์ดแนะนำการดูนก เพราะบอร์ดเหล่านี้ถูกออกแบบให้มี ความกว้างและความสูงในขนาดที่พอดี ทำให้เด็กๆและเยาวชนไม่ต้องชะเง้อจนคอตั้ง หรือต้องให้ผู้ใหญ่อุ้มจึงจะสามารถเห็นและอ่านข้อความสำคัญบนป้ายได้


บอร์ดนี้บอกกับเราว่า เราจะสามารถเห็นนกล่าเหยื่อชนิดใดบ้างในบริเวณนี้


บอร์ดทั้งหมดสามารถเปิดปิดเปลี่ยนรูปภาพใหม่ได้ ขวามือมีกุญแจล็อกไว้ด้วยค่ะ


Least Bell's Vireo

ฉันได้พบกับแผ่นประกาศใบหนึ่ง ในภาพเป็นรูปวาดของนกสองตัว นอนคู่อยู่ในรังสานใบน้อยบนกิ่งไม้ ภาพนี้ติดอยู่บนบอร์ดตรงทางเข้าเขื่อนโบราณ ที่เรียกว่า Old Mission Dam เนื้อหาบนแผ่นประกาศที่ออกแบบสวยงามใบนี้บอกเตือนว่า ให้เคารพความเป็นส่วนตัวของนกที่กำลังทำรัง นกชนิดที่อยู่ในภาพนี้เรียกว่านก Least Bell's Vireo เป็นนกจำพวก Songbird ที่ถูกจัดให้อยู่ในนกชนิดใกล้สูญพันธุ์

ฉันได้หยิบแผ่นพับที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับนก Least Bell's Vireo มาด้วยหนึ่งใบ ในนั้นมีข้อความบอกเล่าถึงนกชนิดนี้อย่างน่าสนใจไว้ว่า รายงานในปี 1993 พบ Least Bell's Vireo มีเหลืออยู่เพียง 600 คู่ทั้งสหรัฐอเมริกา และแหล่งที่พบว่ามีประชากรนก Least Bell's Vireo มากที่สุดอยู่ในอาณาบริเวณของ Mission Trails Regional Park ซึ่งเป็นอุทยานอันกว้างใหญ่ที่ฉันกำลังยืนอยู่นี้ โดยพบว่ามีนก Least Bell's Vireo อยู่ที่นี่เกือบ 300 คู่ทีเดียว...
นก Least Bell's Vireo จะทำรังวางไข่ในช่วงระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ในป่าใกล้แหล่งน้ำ ดังนั้น Kumeyaay Lake ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Mission Trails Regional Park จึงเป็นแหล่งทำรังสำคัญของนก โดยในช่วงฤดูทำรังวางไข่นี้ทางอุทยานได้มีการปิดกั้นรั้วตาข่ายในพื้นที่บางส่วนใกล้แหล่งน้ำบริเวณรอบทะเลสาบไว้ด้วย การปิดกั้นนี้ มีทั้งปิดชั่วคราวและปิดถาวรตลอดทั้งปี นอกจากนี้ก็ยังมีกฏห้ามส่งเสียงดัง และงดใช้เครื่องปั่นไฟสำหรับผู้ที่ไปตั้งแค็มป์ค้างแรมในบริเวณอุทยานช่วงฤดูที่นกผสมพันธุ์อีกด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้นก Least Bell's Vireo มีจำนวนลดนั้น เกิดจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำรังวางไข่ใกล้แหล่งน้ำ ไปกับการพัฒนาและความเจริญเติบโตของเมือง รวมถึง Least Bell's Vireo ยังมีศัตรูทางธรรมชาติ คือนก Brown-headed cowbirds ที่มักแย่งรังและแย่งอาหาร จนทำให้นก Least Bell's Vireo ต้องพบกับความตาย ด้วยเหตุนี้เองในช่วงที่ Least Bell's Vireo สร้างรังวางไข่ เจ้าหน้าที่จะมีการดักจับนก Brown-headed cowbirds เอามาขังไว้ชั่วคราวก่อน แล้วจึงปล่อยกลับคืนธรรมชาติในภายหลัง

แม้นก Least Bell's Vireo จะมีจำนวนประชากรที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ด้วยความร่วมมือของทุกคนในประเทศนี้ ฉันมองเห็นอนาคตของพวกเขาอย่างมีความหวัง ไม่ช้าเขาจะบินกันอย่างงามสง่า เต็มท้องฟ้า แล้วร้องจิบๆบอกเราว่า.. Watch Me Fly !!!

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บ้านนกหลังน้อย

จากการได้เข้าชมงานประกวดภาพถ่าย The 2008 Amateur Photo Contest ที่จัดแสดงอยู่ในอาคาร Visitor Center ของ Mission Trails Regional Park เมื่อเดือนพฤษภาคมนั้น ช่วยให้ฉันได้รู้จักกับแหล่งดูนกอีกแห่ง หลังจากชมภาพถ่ายนกและภาพถ่ายธรรมชาติที่จัดแสดงแล้ว ฉันก็ได้มีโอกาสเดินชมวิวสวยรอบๆตัวอาคาร ฉันเดินเก็บภาพวิวจนมาถึงทางเดินเล็กๆในมุมร่มรื่น ที่ตรงนี้มีต้นไม้ใหญ่รายล้อมอยู่ทั้งสองข้างทาง แต่ที่สะดุดตาฉันคือรังนก 2 รังซึ่งมีขนาดและรูปทรงที่แตกต่างกัน ติดตั้งอยู่บนต้นเมเปิลใหญ่ที่ปลูกอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวามือ

รังของนก House Wren บนต้นเมเปิล

ฉันยืนเก็บภาพรังนกอยู่ห่างๆอย่างเงียบๆ ด้วยคิดว่ารังนกทั้งสองนั้นคงเป็นของประดับสวน และคงไม่มีนกตัวไหนครอบครองเป็นเจ้าของรัง กระทั่งฉันได้ยินเสียงร้องจิบๆของนกตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ที่ในปากคาบอะไรบางอย่าง บินมาเกาะที่กิ่งไม้ใกล้ๆ แล้วก็บินมายืนที่รังมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะผลุบหายเข้าโพรง สักอึดใจจึงโผล่หน้าออกมา แล้วโผจากไป ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจว่ามีใครยืนอยู่แม้แต่น้อย หรือรูปทรงของฉันจะดูเหมือนหินเหมือนต้นไม้ ฉันไม่แน่ใจ ฉันยังคงยืนที่เดิมกระทั่งได้เห็นนกบินกลับมาใหม่ เขาทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนทำให้ฉันมั่นใจว่าพวกเขามีลูกๆอยู่ในรัง


นก House Wren

ฉันตื่นเต้น แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ และเก็บภาพ ส่วนชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปนั้น มันได้ถูกปรับเสียงให้ไปอยู่ในระดับที่เบาที่สุดไว้ตั้งแต่แรก ที่คิดจะใช้กล้องตัวนี้สำหรับถ่ายภาพนกอยู่แล้ว นั่นเพราะฉันต้องป้องกันไม่ให้มันเป็นต้นเหตุที่จะทำให้นกตกใจ.. ฉันเก็บภาพได้ไม่มากและอยู่ตรงนั้นอีกไม่นานก่อนที่จะล่าถอยออกมาด้วยเคารพในความเป็นส่วนตัวและเพื่อให้ความรู้สึกปลอดภัยกับครอบครัวนก



เพราะอยากรู้ว่านกที่ได้เห็นเมื่อสักครู่เป็นนกชนิดใด ฉันจึงเดินกลับเข้าไปในตึก Visitor Center เพื่อหาข้อมูลของนกในรัง และพบว่าพวกเขาคือนก House Wren นอกจากนี้ฉันยังรู้อีกว่า ภายใน Mission Trails Regional Park นั้น เขามีโครงการ Nest Box Project ที่ร่วมกันทำโดยกลุ่มอาสาสมัคร พวกเขาได้ทำการติดตั้งรังนกและรังค้างคาวหลายรังไว้ทั่วพาร์ค เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มจำนวนนกและค้างคาว

รังนกรูปร่างแบบแปลกๆนี้ เรียกว่า Peterson nestbox เป็นรังนกสำหรับนก Bluebird ค่ะ
นอกจากฉันจะได้พบรังนก 2 รังที่ Visitor Center แล้ว รังนกส่วนใหญ่ที่ฉันได้พบเพิ่มเติม จะกระจายติดตั้งอยู่ในบริเวณรอบๆ Kumeyaay Lake ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ห่างออกไป และเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ในอาณาบริเวณของ Mission Trails Regional Park รังนกส่วนใหญ่จะติดตั้งเข้ากับลำต้นของต้นไม้ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ติดตั้งบนเสา แต่รังนกทุกรังที่พบมักจะติดตั้งอยู่ใกล้ทางเดิน บึนทึกในครั้งนี้จึงขอรวบรวมรังนกเท่าที่ได้พบภายในพาร์คไว้ในที่เดียวกันนะคะ









ถูกจับจองด้วยผึ้ง

สองรัง ต่างขนาด ข้างทางเดิน
การติดตั้งรังนกบนเสาแบบนี้จะมีความปลอดภัยกับนกมากกว่าการติดตั้งรังเข้ากับต้นไม้ เพราะรังนกจะไม่มีความเสี่ยงต่อการเข้าถึงง่ายของสัตว์ล่า ที่จะปีนไต่ขึ้นต้นไม้ได้สะดวก สังเกตุที่โคนเสาจะหุ้มไว้ด้วยท่อกลมเพื่อป้องกันการปีนของสัตว์ล่าที่เป็นศัตรูของนก





รังนกรังนี้มีเจ้าของ รังติดตั้งใกล้กับทางเดินที่เป็นสะพานคอนกรีตที่อยู่เหนือลำธารเล็กๆ

ดูชัดๆอีกรูป

เจ้าของรังในรูปที่เห็นตัวชัดๆ

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พากล้องตัวใหม่ไปทะเลสาบ

เพียงส่วนหนึ่งของทะเลสาบ Lake Murray ถ่ายจากมุมสูง

ฉันมีความสนใจเกี่ยวกับชีวิตในธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่มาก แต่ความสนใจเหล่านั้นมันก็มักจำกัดอยู่เพียงในจอทีวี กับรายการสารคดีจำพวกเนเจอร์ทั้งหลาย และช่วงก่อนหน้านั้นหากฉันจะเลือกการพักผ่อนหย่อนใจ ฉันก็จะเลือกไปศูนย์การค้ามากกว่าการเดินป่าเดินพาร์ค...


เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันรู้สึกว่าฉันค่อยๆเปลี่ยนไป



นกอะไรก็ไม่รู้ ติดไว้ก่อนนะคะ
ความรู้สึกอยากจะไปเดินป่า เข้าใกล้ชิดชีวิตในธรรมชาติ มันมาอยู่กับฉันตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ฉันก็มีรองเท้า เสื้อผ้าสีตุ่นๆและการเกงลายทหาร ในตู้เสื้อผ้าเพื่อใช้สำหรับใส่มันในวันที่จะออกไปดูนก ตั้งหลายตัวเข้าไปแล้ว เสื้อสีตุ่นกำลังทำการปฏิวัติเบียดไล่ที่เสื้อสีสว่างสดใส ไม้แขวนเสื้อกำลังถูกช่วงชิงให้เปลี่ยนใจไปแขวนเสื้อสีตุ่น จนเสื้อสีสดจะต้องกล่าวบ๊ายบายและถูกเก็บพับไปให้พ้นทาง
ฉันมีกล้องสองตาอันเล็กๆอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือกล้องตัวใหม่ที่จะมาใช้แทนกล้องเพื่อนยากที่ตกรุ่นการใช้งานด้วยความโบราณของเทคโนโลยี
นกตัวเดียวกับข้างบน
ฉันใช้เวลาศึกษาและเลือกกล้องตัวใหม่อย่างพิถีพิถัน ในที่สุดมันก็ถูกส่งจากร้านค้า Online มาถึงบ้านด้วยความปลอดภัยดี Canon PowerShot SX100 IS เป็นกล้องสวยขนาดเล็กในราคาไม่เจ็บปวดเมื่อเทียบกับคุณสมบัติเพรียกพร้อมน่าใช้ แต่หัวใจสำคัญในการเลือกกล้องสำหรับฉันอยู่ที่กำลังซูมที่กล้องมีให้ถึง 10x optical zoom ซึ่งหากใช้ digital zoom ร่วมกันละก็ กล้องตัวนี้จะมีกำลังซูมได้ถึง 40x เลยทีเดียว มันจึงเหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่อยากหัดถ่ายรูปนกอย่างฉัน

นกตัวนี้สีสวย

ฉันใช้เวลาเรียนรู้วิธีการใช้กล้องอย่างช้าๆ ด้วยการถ่ายภาพนกแถวๆบ้านอย่างสนุกอยู่หลายวัน กระทั่งวันที่ฉันนั่งเขียนบันทึกนี้ ฉันก็ยังหัดใช้งานมันได้ไม่ถึงครึ่งประสิทธิภาพตามความสามารถของกล้อง แต่ภาพที่ได้ก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลย

เมื่อถ่ายรูปนกแถวบ้านจนเบื่อได้ที่ ฉันก็เลยคิดจะพากล้องตัวนี้ไปเที่ยวทะเลสาบ Lake Murray เป็นที่แห่งแรกที่ฉันเลือกไป


เป็ดตัวผู้
ฉันไปถึงทะเลสาบในช่วงเวลาเย็น ประมาณ 4 โมงเศษแล้ว แดดวันนี้ยังคงสดใสดีเพราะที่นี่กำลังเข้าช่วงฤดูร้อน ที่มีกลางวันยาวกว่ากลางคืน จึงทำให้ทุกๆชีวิตได้ใช้เวลาตื่นมากกว่าเวลาหลับ อันที่จริงพวกนักถ่ายรูปนกมืออาชีพ เขาจะต้องมาซุ่มแอบดูนกกันตั้งแต่เช้ามืด แต่ฉันเป็นนักถ่ายรูปมือสมัครใหม่ที่ทำตามใจสะดวกเอาไว้ก่อน วันนี้กะไว้แล้วว่า เห็นอะไรผ่านมาก็จะลุยถ่ายอย่างเดียว Memory Card ของฉันจุภาพได้เป็นพันรูป แบตเตอรี่ก็มีเตรียมมาเพียบ

กล้องจับภาพได้พอดี มีหยดน้ำตกลงมาจากปากเป็ด

รูปนกนั้นถ่ายไม่ค่อยง่าย เพราะนกไม่ค่อยจะจับกิ่งไม้นิ่งๆให้ถ่ายรูปได้นานนัก ฉันจึงต้องอาศัยความไวและความคล่องตัว(ที่มีเหลืออยู่ไม่มาก)ไปพอสมควร ฉันถ่ายรูปนกได้แยะ แต่ภาพที่สวยได้ใจจริงๆก็มีไม่ค่อยมาก สัตว์ที่ถ่ายได้ไม่ยากนักเป็นพวกเป็ด หงส์ และพวกกระรอก กระต่ายป่า ที่มีให้เห็นวิ่งเล่นอยู่มากมาย กระรอกหลายตัวคุ้นและไม่กลัวคน โดยเฉพาะหากเห็นใครหิ้วถุงมา กระรอกก็จะวิ่งเข้ามารุมร้อมอยู่ใกล้ๆเท้า เพราะนึกว่าในถุงนั้นมีอาหาร กระต่ายป่าน่ารักมาก แต่กระต่ายขี้อายกว่ากระรอก เขาจะหลบเร็ว หลายครั้งกว่าจะยกกล้องขึ้นส่องเข้าที่ เขาก็โดดหายไปซะแล้ว แต่ฉันก็ยังโชคดีที่ได้เก็บภาพไว้ทัน



หงส์

ที่ทะเลสาบแห่งนี้กว้างมาก ฉันเคยมาเดินเล่นที่นี่หลายครั้งแต่ไม่เคยเดินได้ถึงจุดหมายปลายทางสักที ที่นี่ไม่มีใครเดินได้รอบทะเลสาบ เพราะเมื่อเดินถึงจุดสุดทาง ก็จะต้องเดินวกกลับทางเดิม คนแถวนี้มักมาเดินออกกำลังกาย หลายคนจะใช้จักรยาน ชีวิตธรรมชาติรอบๆบริเวณทะเลสาบนี้ค่อนข้างจะหลากหลาย ว่ากันว่ามีนกเป็นร้อยชนิดทั้งที่อยู่ประจำถิ่น และพวกไปๆมาๆตามฤดูกาล ฉันได้เห็นนกต่างชนิด ที่ส่วนใหญ่ฉันไม่ค่อยรู้จักชื่อ ทำให้ฉันรู้ว่า การเริ่มต้นจากศูนย์อย่างนี้มันไม่ง่ายเลย หากจะเอาจริงเอาจังทางด้านการดูนกและถ่ายภาพนกแล้วละก็ ฉันเห็นทีจะต้องซื้อคู่มือดูนกสักเล่มเสียแล้ว


กระรอกมาดเท่

ฉันจะยังคงกลับมาที่ทะเลสาบแห่งนี้อีกหลายครั้งเพื่อดูนกและถ่ายภาพนกให้ได้มากที่สุดเพื่อการรวบรวมของฉันเอง และนี่เป็นภาพชุดแรกที่ฉันอยากแบ่งปัน มาเที่ยวทะเลสาบด้วยกันนะคะ


กระรอกตัวเล็กนี้วิ่งลงไปจิบน้ำที่ริมทะเลสาบ ก่อนที่จะวิ่งขึ้นมาอาบคลุกทราย เขากลิ้งกลับตัวไปมาในทรายท่าทางจะขัดไคลให้สิ้นซาก เป็นภาพที่น่ารักมาก และกล้องจับภาพมาได้ในท่าสวยทีเดียว



กระรอกตัวกลม


กระต่ายป่า